เมนู

ปุริสวิมานวัตถุ


มหารถวรรคที่ 5


อรรถกถามัณฑูกเทวปุตตวิมาน


มัณฑูกเทวปุตตวิมาน มีคาถาว่า โก เม วนฺทติ ปาทานิ เป็นต้น.
มัณฑกเทวปุตตวิมานเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ริมฝั่งสระโบกขรณี ชื่อ คัคครา
นครจัมปา เวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติอันเป็นพุทธา-
จิณวัตร ทรงออกจากสมาบัตินั้น แล้วทรงตรวจดูเหล่าสัตว์พวกที่เป็น
เวไนยพอจะแนะนำได้ ทรงเห็นว่า เวลาเย็นวันนี้ เมื่อเรากำลังแสดงธรรม
กบตัวหนึ่งถือนิมิตในเสียงของเรา จักตายด้วยความพยายามของผู้อื่นแล้ว
บังเกิดในเทวโลก มาให้มหาชนเห็นพร้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมาก
คนเป็นจำนวนมากจักได้ตรัสรู้ธรรมในที่นั้น ครั้นทรงเห็นแล้ว เวลาเช้า
ทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังจัมปานครพร้อม
ด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ทรงทำให้ภิกษุทั้งหลายหาบิณฑบาตได้ง่าย เสวยภัตกิจ
เสร็จแล้วเสด็จเข้าพระวิหาร เมื่อภิกษุทั้งหลายทำวัตรปฏิบัติแล้วไปที่พัก
กลางวันของตน ๆ ก็เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงใช้เวลาครั้งวันให้หมด
ไปด้วยสุขในผลสมาบัติ เวลาเย็นเมื่อบริษัททั้ง 4 ประชุมกัน เสด็จออก
จากพระคันธกุฎีอันหอมตลบ เสด็จเข้ามณฑปศาลาประโยคชุมธรรม
ริมฝั่งสระโบกขรณี ด้วยพระปาฏิหาริย์ซึ่งเหมาะแก่ขณะนั้น ประทับนั่ง

เหนือพระบวรพุทธอาสน์ที่ประดับไว้ ทรงเปล่งพระสุรเสียงเพียงดัง
เสียงพรหม ซึ่งประกอบด้วยองค์ 8 (1. วิสฺสฏฺฐ สละสลวย 2 มญฺชุ
ไพเราะ 3. วิญฺเญยฺย ชัดเจน 4. สวนีย เสนาะโสต 5. อวิสารี ไม่
เครือพร่า 6. พินฺทุ กลมกล่อม 7. คมฺภีร ลึก 8. นินฺนาที มี
กังวาน
) ราวกะว่าพญาไกรสรสีหราชมิหวาดหวั่น บันลือสีหนาทเหนือ
พื้นมโนศิลาฉะนั้น ทรงเริ่มแสดงธรรมด้วยพระพุทธสีลาอันหาอุปมามิได้
ด้วยพระพุทธานุภาพอันเป็นอจินไตย.
ในขณะนั้น กบตัวหนึ่งมาแต่สระโบกขรณี จึงนอนถือนิมิตใน
พระสุรเสียงด้วยธรรมสัญญาว่า นี้เรียกว่าธรรม อยู่ท้ายบริษัท ขณะนั้น คน
เลี้ยงลูกโคคนหนึ่งมายังที่นั้น เห็นพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรม และ
บริษัทกำลังฟังธรรมอย่างสงบเงียบส่งใจไปในเรื่องนั้น ยืนถือไม้ [สำหรับ
ต้อนโค] ไม่ทันเห็นกบจึงได้ยืนปักไม้บนหัวกบเข้า กบมีจิตเลื่อมใสด้วย
ธรรมสัญญา ทำกาละตายในขณะนั้นเอง ไปบังเกิดในวิมานทอง 12
โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น เห็นตนถูก
หมู่อัปสรแวดล้อม นึกดูว่า เรามาแต่ไหนจึงบังเกิดในที่นี้ เห็นชาติก่อน
นึกทบทวนดูว่า เราเกิดในที่นี้ และได้รับสมบัติเช่นนี้ เราทำกรรมอะไร
หนอ ไม่เห็นกรรมอื่น นอกจากถือนิมิตในพระสุรเสียงของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เทพบุตรนั้นมาพร้อมด้วยวิมานในขณะนั้นเอง ลงจากวิมาน
ทั้งที่มหาชนเห็นอยู่นั่นแล เข้าไปถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า แล้วยืนประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ด้วยอานุ-
ภาพทิพย์ยิ่งใหญ่ ด้วยบริวารหมู่ใหญ่.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเทพบุตรนั้น เพื่อจะทรง
ทำผลแห่งกรรมและพุทธานุภาพให้ประจักษ์แก่มหาชน จึงตรัสถามว่า
ใครรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ด้วยยศ มีวรรณะงาม
ทำทิศทุกทิศให้สว่างไสว กำลังไหว้เท้าของเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก ได้แก่ บรรดาเทวดานาคยักษ์
และมนุษย์เป็นต้น ใคร ความว่า เป็นประเภทไหน. บทว่า เม แปลว่า
ของเรา. บทว่า ปาทานิ แปลว่า เท้าทั้งสอง. บทว่า อิทฺธิยา ได้แก่
ด้วยเทพฤทธิ์นี้ คือเช่นนี้. บทว่า ยสฺสา ได้แก่ ด้วยบริวารและด้วย
เกียรติที่กำหนดไว้นี้ คือเช่นนี้ บทว่า ชลํ แปลว่า โชติช่วงอยู่. ว่า
อภิกฺกนฺเตน ได้แก่ น่ารัก น่าใคร่ คืองามเหลือเกิน. บทว่า วณฺเณน
ได้แก่ ผิวพรรณ ความว่า ประกายวรรณะของร่างกาย.
ครั้งนั้น เทพบุตรเมื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งชาติก่อนเป็นต้นของตน
ได้ทูลพยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านั้นว่า
เมื่อชาติก่อน ข้าพระองค์เป็นกบอยู่ในน้ำ มี
น้ำเป็นถิ่นที่หากิน กำลังฟังธรรมของพระองค์อยู่
คนเลี้ยงโคก็ฆ่าเสีย ขอพระองค์โปรดดูฤทธิ์และยศ
ดูอานุภาพวรรณะและความรุ่งเรืองของความเลื่อมใส
แห่งจิตเพียงครู่เดียวของข้าพระองค์ ข้าแต่ท่านพระ-
โคดม ชนเหล่าใด ได้ฟังธรรมของพระองค์ตลอด
กาลยาวนาน ชนเหล่านั้นก็ถึงฐานะที่ไม่หวั่นไหว ซึ่ง
คนไปแล้วไม่เศร้าโศกเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุเร แปลว่า ในชาติก่อน. บทว่า
อุทเก นี้ เป็นบทแสดงที่เกิดของตนในกาลนั้น. ด้วยบทว่า อุทเก
มณฺฑูโก
นั้น ย่อมเป็นอันเทพบุตรทำการกลับชาติของกบ ในเพราะ
ผลของซากที่ขึ้นพองเป็นต้น. ชื่อว่า โคจร เพราะอรรถว่า เป็นที่เที่ยว
ไปของโคทั้งหลาย ชื่อว่า โคจร เพราะเหมือนที่เที่ยวไปของโค คือที่
แสวงหาอาหาร ชื่อว่า วาริโคจโร เพราะอรรถว่า มีวารีคือน้ำ เป็นที่
แสวงหาอาหารของกบนั้น ความจริง สัตว์ไร ๆ มีเต่าเป็นต้น แม้เที่ยว
ไปในน้ำ แต่ก็ไม่ใช่เป็นพวกวาริโคจร มีน้ำเป็นถิ่นที่กิน ดังนั้น ท่าน
จึงกล่าวให้แปลกไปว่า วาริโคจโร. บทว่า ตว ธมฺมํ สุณนฺตสฺส ความว่า
กำลังฟังธรรมของพระองค์ผู้ทรงแสดงอยู่ ด้วยพระสุรเสียงเพียงดังเสียง
พรหม ไพเราะดังเสียงร้องของนกการเวก ด้วยถือนิมิตในพระสุรเสียงว่า
นี้เรียกว่าธรรม ถือนิมิตในพระสุรเสียง. ฉัฏฐีวิภัตตินั้น พึงทราบว่าลง
ในอรรถอนาทร (แปลว่า เมื่อ). บทว่า อวชี วจฺฉปาลโก ความว่า
เด็กเลี้ยงโค ชื่อว่าคนเลี้ยงโค รักษาลูกโคทั้งหลาย มาใกล้ข้าพระองค์
ยืนถือท่อนไม้ ปล่อยท่อนไม้ลงบนศีรษะข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์
ตาย.
บทว่า มุหุตฺตํ จิตฺตปฺปสาทสฺส ความว่า ความเลื่อมใสแห่งจิต
ที่เกิดขึ้นชั่วครู่ในพระธรรมของพระองค์ เป็นเหตุ. บทว่า อิทฺธึ แปลว่า
ความสำเร็จ ความว่า ความสง่าผ่าเผยอันเป็นทิพย์. บทว่า ยสํ ได้แก่
บริวารยศ. บทว่า อานุภาวํ ได้แก่ อานุภาพอันเป็นทิพย์มีความเป็นผู้มี
วรรณะงามเป็นต้น. บทว่า วณฺณํ ได้แก่ ความพรั่งพร้อมแห่งรัศมีใน
ร่างกาย. บทว่า ชุตึ ได้แก่ แสงวิเศษสามารถแผ่ไปได้ถึง 12 โยชน์.

บทว่า เย แปลว่า สัตว์เหล่าใด จ ศัพท์ลงในอรรถพยติเรก.
บทว่า เต แปลว่า ของพระองค์. บทว่า ทีฆมทฺธานํ ได้แก่ เวลามาก.
บทว่า อสฺโสสุํ แปลว่า ฟังแล้ว. เทพบุตรเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า
โดยพระโคตรว่า โคตมะ. บทว่า อจลฏฺฐานํ ได้แก่ พระนิพพาน ใน
บทนี้มีเนื้อความดังต่อไปนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้โคดม สัตว์เหล่า
ใด ทำบุญไว้แล้ว มิได้ฟังธรรมสิ้นเวลานิดหน่อย เหมือนข้าพระองค์
ได้ฟังแล้ว คือได้โอกาสที่จะฟังพระธรรมของพระองค์ตลอดเวลานาน
สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่าทำลายสังสารวัฏเด่นชัดตลอดกาลนาน สัตว์เหล่านี้
ไปในที่ใดไม่พึงเศร้าโศก สัตว์เหล่านั้นถึงที่นั้นที่ไม่เศร้าโศก อันชื่อว่า
ไม่หวั่นไหว เพราะความเป็นของเที่ยง คือสันติบท (พระนิพพาน)
เพราะถึงสันติบทนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงไม่มีอันตราย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัยสมบัติของเทพ-
บุตรนั้น และของบริษัทที่ประชุมกันอยู่ แล้วทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร
จบเทศนา เทพบุตรนั้นตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สัตว์แปดหมื่นสี่พันได้
ตรัสรู้ธรรม เทพบุตรนั้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณ
ทำอัญชลีแด่ภิกษุสงฆ์ พร้อมด้วยบริวารกลับเทวโลก.
จบอรรถกถามัณฑูกเทวปุตตวิมาน

2. เรวตีวิมาน


ว่าด้วยเรวตีวิมาน


พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสว่า
[52] ญาติมิตรและสหายผู้มีใจดี ย่อมยินดี
ต้อนรับบุคคลผู้ร้างแรมไปนาน แล้วกลับมาโดย
สวัสดีจากที่ไกล ฉันใด แม้บุญที่ทำแล้ว ก็ฉันนั้น
บุญทั้งหลายย่อมต้อนรับบุคคลผู้ทำบุญ ผู้ไปจาก
โลกนี้สู่โลกอื่น เหมือนญาติต้อนรับญาติที่รักผู้กลับ
มาฉะนั้น.

ยักษ์สองคนกล่าวกะนางเรวดีว่า
ลุกขึ้น แม่เรวดี ตัวชั่วร้ายผู้ไม่ปิดประตู
(นรก) ผู้มีปกติไม่ให้ทาน เราจักนำเจ้าไปในที่ที่
พวกสัตว์นรก ผู้ตกยาก เพียบด้วยทุกข์ ต้องถอน
ใจอยู่.

พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า
ยักษ์ใหญ่นัยน์ตาแดงสองตนนั้น เป็นทูตของ
พญายม กล่าวดังนี้ทีเดียว แล้วจับแขนนางเรวดี
คนละข้าง นำเข้าไปใกล้หมู่เทวดา.

นางเรวดีถามยักษ์สองตนว่า